วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

 ไม่เข้าใจ...ทำไมต้องดื้อ ต้องเถียง??



      เว็บบอร์ด Dek-D.com ของเราเป็นแหล่งรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลของวัยรุ่น ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเล่น เป็นช่องทางสื่อสารใหญ่ที่วัยรุ่นเราสามารถเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ หรือระบายอารมณ์ก็ได้ แต่ก็ไม่ได้มีแต่เด็กๆ วัยรุ่นเล่นกันอย่างเดียวนะคะ บางครั้งก็มีผู้ใหญ่อย่างคุณพ่อคุณแม่เข้ามาตั้งกระทู้ถาม ตอบอยู่เหมือนกัน และผู้เขียนก็เชื่อว่าหากเป็นกระทู้ถาม ก็จะได้รับคำตอบตรงจุดดีพอสมควรทีเดียว แต่จะเรียกว่าเป็นคำแนะนำคงไม่ได้ เพราะคนตอบก็คงเป็นวัยอ่อนกว่าคุณแม่ผู้ตั้งกระทู้ต้นเรื่องนี้เสียเป็นส่วนใหญ่  แต่เชื่อว่าคุณแม่คงได้คำตอบที่ตรงประเด็นบ้างไม่มากก็น้อย เพราะ ปัญหาคือลูกวัยรุ่น และคนที่จะเข้าใจวัยรุ่นได้ที่สุด คือ ใครล่ะคะ ถ้าไม่ใช่คนวัยรุ่นเหมือนกัน?

   ปัญหาของคุณแม่ เป็นปัญหาพื้นฐานที่หลายๆ บ้านต้องรับมือ เพราะเมื่อลูกโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ย่อมตามมาตามพัฒนาการและประสบการณ์ที่เขาเจอมากขึ้น ลูกวัยรุ่นจะชอบเถียง ไม่ใช่ว่าต้องการทะเลาะ หรือปีกกล้าขาแข็ง ลูกเพียงแต่ต้องการให้พ่อแม่รับรู้ว่าตนเองโตแล้ว มีความคิดมากพอที่จะทำเรื่องต่างๆ ตามที่ตนคิดว่าเหมาะสมแล้ว ซึ่งบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมในความคิดของพ่อแม่ พอเขารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับความคิดของตนเอง เพื่อนที่เข้าใจกันมากกว่า ย่อมเข้ามามีอิทธิพลสูงสุดในช่วงวัยนี้ 

    การคบเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชายก็ตาม จะทำให้วัยรุ่นได้เรียนรู้บทบาทของตนเอง การปรับตัวเข้าหาผู้อื่น รวมถึงการรู้จักฟังความคิด และเอื้ออาทรต่อกันในหมู่เพื่อนสนิท ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของการเข้าสังคม การมีเพื่อนย่อมดีกว่าไม่มีเพื่อน ดังผลทางจิตวิทยาวัยรุ่นบอกไว้ว่า แนวโน้มของเด็กที่ไม่มีเพื่อน และถูกกีดกันจากการคบเพื่อนในกลุ่มที่ชอบเหมือนกัน จะทำให้เด็กๆ ค่อยๆ สะสมความคับข้องใจ เมื่อโตขึ้นจะมีปัญหาทางอารมณ์และการปรับตัว ซึ่งประเด็นนี้มีลูกๆ วัยรุ่นในกระทู้นำเรื่องได้แสดงความคิดเห็นอย่างดีแล้ว





    แม้ว่าเพื่อนลูกอาจไม่ดีพอในสายตาพ่อแม่ แต่อย่าลืมว่าเพื่อนลูกก็คือวัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่ต้องการใครสักคนเข้าใจเหมือนลูกของตนเอง การพยายามกันให้ลูกออกห่างจากเพื่อน ไม่ใช่แค่การทำให้ลูกรู้สึกเสียใจเท่านั้น แต่กำลังทำร้ายจิตใจวัยรุ่นอีกคนอยู่เช่นเดียวกัน แต่แน่นอนว่าถ้าเพื่อนมีนิสัยไม่ดีจริงๆ ลูกอาจไม่ดีตามได้ เพราะมีแนวโน้มสูงที่จะคล้อยตามเพื่อนมากกว่าอยู่แล้ว โดยเฉพาะในแง่การต้องทำตามกลุ่มเพื่อน ทำตัวและใช้ของแบบเดียวกันทั้งกลุ่ม แต่ถ้าพ่อแม่กันลูกท่าเดียว ไม่ทำความเข้าใจกับลูกให้ชัดเจน ในประเด็น เช่นว่า ถ้าห้ามคบ ทำไมถึงห้ามคบ ที่บอกว่าเพื่อนไม่ดี ตรงไหนที่ไม่ดี ไม่ดีจริงไหม พ่อแม่เคยตามไปเห็นพฤติกรรมจริงๆของลูกๆ หรือเปล่า หรือฟังเสียงเล่าลือเล่าอ้างมาพูด หรือ ถ้าจะไม่ซื้อของให้แบบที่เพื่อนมี ทำไมไม่ซื้อให้ แต่ก่อนก็ให้มาตลอด ทำไมคราวนี้ไม่ให้ สิ้นเปลือง อะไรที่สิ้นเปลือง เพราะประโยชน์มันก็มี ฯลฯ การไม่บอกลูกให้ชัดเจน แล้วพยายามกีดกันท่าเดียว โดยใช้แต่เหตุผลในมุมมองของผู้ใหญ่ เช่น "ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ดูออกว่าคนไหนดีไม่ดี" หรือถ้าแรงหน่อย คือ "เงินฉัน ฉันหามา มีสิทธิ์จะให้หรือไม่ให้ก็ได้" ร้อยทั้งร้อยเปอร์เซ็นลูกก็จะแหกคอกพ่อแม่ออกมาอยู่ดี





      เรื่องติดวัตถุ ส่วนหนึ่งแล้ว ผู้ใหญ่ต้องยอมรับว่าสิ่งแวดล้อมปัจจุบันเป็นตัวหนุนให้เด็กๆ ทุกคนรับรู้ว่าสิ่งรอบตัวทำขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบาย เพื่อความบันเทิง และเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ทั้งโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ และที่สำคัญก็เข้ามาอยู่ในชีวิตมากเสียจนไม่มีใครขาดได้ โดยเฉพาะโฆษณาต่างๆ ดารา นักร้อง ที่สามารถเข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายผ่านสื่อสะดวกเหล่านั้น สำหรับบางครอบครัวแล้วโฆษณาเหล่านี้เข้าถึงได้มากกว่าพ่อแม่เสียด้วยซ้ำ ซึ่งมีรายงานวิจัยเลยว่า แม้แต่เด็กวัยรุ่นต่างจังหวัดก็ยังเข้าร้านอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ ถึงร้อยละ 50 เจ้าสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กวัยรุ่นสมัยนี้แทบทุกคนติดกับวัตถุ และพ่อแม่ก็ลืมตระหนักในข้อดังกล่าวเสียด้วย เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติในสังคมไปแล้ว ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องมีสื่ออำนวยความสะดวกเหล่านั้น จึงไม่แปลกหากลูกจะติดหนึบอยู่กับวัตถุในยุคสังคมบริโภคแบบนี้ 


  แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูด้วยว่าพ่อแม่ที่รักลูก กำลังกลัวว่าลูกจะไม่ทัดเทียมเพื่อนหรือเปล่า เลยพยายามสนับสนุนให้สิ่งต่างๆ ตามความต้องการของลูก จนลูกเคยชินที่จะได้รับอยู่เสมอ หากวันหนึ่งพ่อแม่กลับพรากออกไป เพราะไปเพราะเริ่มเห็นท่าว่าไม่ดี หรือหาให้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เลยหันไปโทษเพื่อนของลูกฝ่ายเดียวหรือเปล่า บางครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับลูก กลัวลูกรับไม่ได้ กระทบจิตใจ หรือคิดว่าพูดไปก็ไม่ยอมฟัง แต่เคยได้พูดและฟังลูกพูดอย่างจริงจังหรือยัง บางทีผู้ใหญ่ก็ติดว่ามีประสบการณ์มากกว่า ทำท่าจะฟังเด็กพูด แต่พอฟังขัดหูนิดเดียว ก็หันมาแก้ และบอกๆๆๆ จนลืมฟังเด็กให้จบ ทีนี้พอเด็กเห็นว่าผู้ใหญ่ไม่ฟังแล้ว ก็เลยโกรธ ในที่สุดก็กลับสู่วงจรเดิม คือ เริ่มเถียงหรือเริ่มหูทวนลมและทะเลาะกันในที่สุด  



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/25632/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88...%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87.php#ixzz1U55P0KuC

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น